ประสบการณ์ซื้อบ้านแบบหนี้บัตรเครดิตท่วมหัว

ประสบการณ์การซื้อบ้านแบบหนี้บัตรท่วม 3 Years, 4 Months ago
Karma: -1  


หวัดดีครับเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาผมแนะนำให้ท่านที่สนใจอ่านกระทู้ที่ผมเคยเข้าไปปร� ��กษามาก่อนนะครับจะได้ต่อติด http://debtclub.consumerthai.org/index.php?option=com_kunena&Itemid=10&func=view&catid=2&id=25984
 หลังจากที่คุณ p_chan ได้แนะนำให้ผมนำเครดิตบูโรไปถามเจ้าหน้าที่ธนาคารเกี่ยวกับเรื่องกู้บ้าน ผมได้รับบูโรตัวเองในสัปดาห์ที่แล้วสถานะปกติทั้งหมด 21 บัญชี ( เยอะไหมครับ ไม่น่าเชื่อว่าตัวเองจะรอด Black list มาได้จนถึงทุกวันนี้ )
 ทำให้ผมเริ่มมั่นใจเดินเรื่องยื่นกู้ซื้อบ้านกับธนาคาร ธอส. ที่บริษัทผมมีสัญญาอยู่กับธนาคารนี้ ผลปรากฎว่าผมสามารถกู้บ้านได้ในวงเงิน 2 ล้าน 6 แสนบาท ตามฐานเงินเดือนของผม
 ทั้งที่ยังมีหนี้บัตรเครดิตอยู่เกือบ 5 แสนบาท ครับพิมพ์ไม่ผิดหรอกครับ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้เลยถ้าธนาคารจะต้องนำ 10% ของการจ่ายบัตรเครดิตขั้นต่ำของผมซึ่งก็เกือบ 5 หมื่นบาท
 มาหักออกจากเงินเดือนผมแล้วนำไปคำนวณวงเงินกู้บ้าน( เพราะบางเดือนติดลบด้วยซ้ำ ) ตามที่หลายๆคนเคยแนะนำ ทำให้บางท่านถึงกลับออกอาการกลัวไม่กล้ายื่นเรื่องกู้บ้านเพราะตัวเองมีภาระหนี้มากเกิน� ��ปกลัวยื่นไม่ผ่าน
 หรือไม่ได้มากตามที่ตัวเองยื่นกู้ จากการยื่นกู้บ้านครั้งนี้ทำให้ผมทราบวิธีการคิดคำนวณวงเงินของธนาคารในการกู้บ้าน (เฉพาะ ธอส. นะครับที่อื่นไม่รู้) ได้มาเล่าให้กับเพื่อนฟังเผื่อใครที่มีปัญหาแบบผมจะได้เข้าใจและคลายความกังวลใจไปได้บ้� ��ง
ธอส. จะนำภาระรายจ่ายรายเดือนของคุณไปหักจากเงินเดือน แล้วคำนวณออกมาว่าสามารถให้กู้ตามวงเงินที่ขอได้หรือไม่( เงินเดือนเพียวๆนะครับ ประมาณ 60 % ของเงินเดือนที่สามารถผ่อนบ้านได้ในแต่ละเดือน ) หลักๆ ก็จะนำค่าผ่อนรถยนต์( กรณีที่ผ่อนรถยนต์ ซึ่งถือว่าเป็นตัวหลักที่ลดวงเงินกู้บ้าน ถ้าเลือกได้ให้ซื้อบ้านก่อน อย่าติดกับดัก บ้านหักภาษีได้ด้วย ให้เช่าก็ได้ อยู่นานกว่ารถ ขายก็ราคามีแต่จะขึ้นนะครับ 3 ปีรีไฟแนนซ์ได้ตังค์อีก) จากนั้นก็จะหักค่าผ่อนของรายเดือนกับบัตรต่างๆเช่น โทรศัพท์ กับ Aeon หรือ ตู้เย็น กับ First choice ซึ่งก็หมายถึงรายจ่ายที่คุณทำสัญญาจ่ายกับบัตรเพื่อผ่อนสินค้าในแต่ละเดือนจนกว่าจะครบต� ��มจำนวนงวดที่กำหนด ส่วนบัตรที่คุณต้องจ่าย 10% หรือ 5% ขั้นต่ำ ตราบใดที่มันยังไม่เป็น Black list แล้วสถานะปกติ ก็ไม่มีปัญหา ธนาคารไม่นำมาคิดคำนวณวงเงินกู้ หรือต่อให้เป็น Black list ธนาคารก็จะบอกให้คุณปิดตัวนั้นทั้งก้อนแล้วนำหลักฐานการปิดมายื่นแนบเอกสารการกู้ ส่วนตัวอื่นๆ ถ้ายังปกติก็ปล่อยไว้ จากเหตุการณ์นี้ทำให้ผมได้เข้าใจและขอบคุณตัวเองที่พยายามรักษาเครดิตตัวเองแทบตายทั้งท� ��่ไม่เคยได้คิดว่าจะไปทำธุรกิจกู้เงินจากธนาคารหรือกับใครที่ไหนแต่ก็กลัวเสียเหลือเกิน�� �่าจะเป็นคนเครดิตไม่ดี สำหรับมนุษย์เงินเดือนอย่างเราๆเครดิตดีๆที่พยายามรักษากันก็เอาไว้ก็ได้ใช้ตอนกู้ซื้อบ� ��านนี่แหละครับ ในกรณีผมเป็นคนที่อยากมีบ้าน มีหนี้บัตรเครดิตที่ไม่เป็น Black list ซึ่งจ่ายขั้นต่ำไม่ไหวแล้ว(โว้ย ) เลยซื้อบ้านแล้วนำส่วนต่างมาเก็บไว้( อันนี้ก็ต้องเสาะหาโครงการกันเอาเองนะครับว่าจะมีโครงการที่ให้ส่วนต่างแบบนี้หรือเปล่า ) ทุกอย่างดำเนินไปได้ด้วยดี ตอนนี้ผมเหลือเงินจากการซื้อบ้าน อีกเกือบ 4 แสน ไว้เตรียมทำ H/C ( ปล. จริงๆบ้านก็ไม่ได้อยู่เองหรอกครับให้ฝรั่งเช่าเดือนละหมื่น ส่วนตัวเจ้าของ เช่าอยู่ 2,000 อ่าครับ สมน้ำหน้าอยากเป็นหนี้ดีนัก เอาไว้เป็นตังค์เก็บหยอดกระปุก แล้วปีนี้ยังเอาไปลดหย่อนภาษีได้มากกว่า ซึ่งถ้าเป็นบ้านใหม่แล้วโอนปีนี้ได้ลดหย่อนอีก 300,000 จากราคาบ้าน + 100,000 จากดอกเบี้ยบ้าน กำไรหลายต่อ ) ผมไม่ได้แนะนำให้ใครทำตามนะครับเพียงแต่มาเล่าสู่กันฟัง หลังจากได้เงินแล้วคงจะเริ่มหยุดจ่าย คราวนี้ได้เผาจริงเสียที ส่วนประสบการณ์การหยุดจ่ายเร็วๆนี้คงจะได้มา update ให้ฟังกันแน่นอนครับ