บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก ธันวาคม, 2013
เคยเตือนน้องคนรู้จักคนนึงเรื่องการซื้อบ้าน กะว่าซื้อบ้านให้พ่อแม่อยู่ หลังนึง 3 ล้านกว่าๆ พ่อแม่เคยอยู่ตึกแถวในตลาด  อารมณ์อยากมีบ้าน มีบริเวณ จะได้มีที่จอดรถ น้องก็พาพ่อแม่ไปดูบ้าน  ก็้ชอบกันหมดทุกคน  น้องเลยจัดการซื้อเลย ผ่อนเดือนนึงก็หลายอยู่ พอเอาเข้าจริง ตอนแรกก็ไปนอนบ้าง แต่งบ้าน จัดสวน ทุกสิ่งอย่าง ผ่านไปเริ่มไม่อยากไป เพราะไกลจากบ้านเดิมมาก ไปนอนได้สัปดาห์ละวัน หนักๆเข้า พ่อแม่เริ่มงอแง ไม่ไปอยู่ ที่นีลูกก็ผ่อนไป ตัวเองก็ไปอยู่สัปดาห์ละวัน อยากบอกว่า  การเปลี่ยนวิถีชีวิตคนแก่เป็นเรื่องยาก  บางคนก็ไม่อยากขัดใจลูก บางคนก็อารมณชัววูบ อยากได้บ้าน น้องก้เสียโอกาสในการเก็บเงิน ต้องเอาไปผ่อนบ้าน  แล้วบ้านก็ไม่ได้ขายกันง่ายๆ เกิดหนี้ที่ไม่จำเป็นเลย เหตุการณ์นี้ก็เคยเกิดขึ้นกับผม  หลายคนคงอยากให้พ่อแม่อยู่สบาย ไปซื้อบ้านในหมู่บ้าน เหมือนเอานกไปขังกรง คนแก่ไม่มีสังคม อยู่อย่างหงอยๆ  สุดท้ายก็เลือกอยู่บ้านเก่าในตลาด บ้านในหมู่บ้านอยู่ไม่ได้  เลยให้เช่า สุดท้ายก็ขายไป  เพราะฉะนั้นซ์้ออะไรคิดให้ดีครับ อย่าทำให้ตัวเองเสียโอกาส

ซื้อประกันเท่าไหร่จึงจะพอดี

ซื้อประกันเท่าไหร่ถึงจะพอดี ไม่มากจนเกินเป็นภาระเกินไป อันนี้เอามาจากรายการวิทยุที่ได้ฟัง เขาบอกว่าให้ ทำรายการทรัพย์สินทั้งหมด เช่น บ้าน ที่ดิน หุ้น พันธบัตร เงินสด ทองคำ รถ   แล้วลบด้วยหนี้สินทั้งหมด เช่น หนี้บ้าน หนี้รถ หนี้บัตรเครดิต จะเหลือทรัพย์สินสุทธิเท่าไหร่ ตัวอย่างเช่น คุณเจมส์จิ อายุ 30 ปี คือกำลังหลักของครอบครัว มีทรัพย์สิน 2 ล้านบาท มีภาระผ่อนบ้าน ยอดหนี้บ้าน 3 ล้านบาท   มีพ่อแม่ไม่รายได้อะไรเพราะเกษียณแล้ว อายุ 65 และ 63 ปี มีภรรยาซึ่งมีรายได้ต่อปี 600,000 บาท มีลูก 1 คน อายุ 3 ขวบ มีค่าใช้จ่ายต่อเดือน 50,000 บาท   การทำประกันที่ดีนั้น ต้องไม่ทำมากเกินไป เพราะเป็นภาระผูกพันระยะยาว 5- 15 ปีที่ต้องส่งเบี้ยประกันทุกๆปี แต่ไม่ควรทำน้อยเกินไป เพราะถ้าเกิดอะไรที่ไม่คาดคิดกับรายได้หลัก จะมีคนเดือดร้อนอีกหลายคน เช่น ถ้าคุณเจมส์จิ ตาย บ้านไม่มีประกันก็อาจโดนยึดขายทอดตลาด พ่อแม่ก็ลำบาก จะเอาอะไรกิน เจ็บไข้ได้ป่วย จะเอาเงินที่ไหนไปรักษา ลูกก็ต้องลำบาก กำลังเล็ก ไหนจะต้องเข้าโรงเรียน ก็ต้องใช้เงินเพื่อการศึกษาเล่าเรียนอีก เรามาคิดทุนประกันที่เห